แนวทางการก่อสร้างหลังจากนี้ มีแนวโน้มจะปรับเปลี่ยนไปในทิศทางใด? ที่จะมาช่วยลดผลกระทบต่อการทำงานและตอบโจทย์ความปลอดภัยต่อสุขภาพเพื่อให้ธุรกิจการก่อสร้างยังคงดำเนินต่อไปได้ นอกเหนือจากการปฏิบัติตนตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัดในสภาวะวิกฤตแบบนี้

สำหรับโครงการที่มีความต้องการปลูกสร้างสถาปัตยกรรมร่วมกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ได้บรรยากาศของธรรมชาติที่สดชื่น มีต้นไม้น้อยใหญ่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาคาร แต่ปัญหาที่มักจะพบเจอในการก่อสร้างลักษณะนี้อาจมีมากมาย ทั้งความลำบากในการเก็บรักษาต้นไม้เดิมระหว่างการก่อสร้าง และความสวยของต้นไม้ที่ยังเติบโตไม่ทันเมื่อโครงการเสร็จสมบูรณ์ งานโครงสร้างเหล็ก H-BEAM จึงเข้ามาช่วยจบปัญหาที่เกิดขึ้นในการพัฒนาพื้นที่โครงการลักษณะนี้ได้อย่างลงตัว

แม้จะคลายล็อกดาวน์แล้วแต่แรงงานที่คงเหลือในระบบกลับไม่เพียงพอ จากการหนีหายเพื่อเลี่ยงการตรวจสอบและออกไปหาแหล่งงานใหม่ จึงเกิดปัญหา “ขาดแคลนแรงงานก่อสร้าง” เป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า 300,000-500,000 คน ซึ่งจะส่งผลกระทบในอนาคตแน่นอน

จุดเด่นหนึ่งของอาคารโครงสร้างเหล็ก คือ ความสามารถในการขยายขีดจำกัดของโครงสร้างทำให้เกิดเป็นอาคารสถาปัตยกรรมรูปลักษณ์แปลกตาที่ถูกออกแบบและก่อสร้างได้อย่างท้าทาย โดยเฉพาะการออกแบบให้มีคานยื่นยาวพิเศษ หรือ Cantilever ซึ่งสามารถทำได้ในหลากหลายรูปแบบเพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่ต้องการ

เมื่อปัญหาเรื่องของสนิมกับการเลือกใช้วัสดุเหล็กในงานโครสร้าง เกิดเป็นคำถามกวนใจให้เจ้าของโครงการและผู้ออกแบบพลอยสงสัยถึงวิธีรับมือและการบำรุงรักษาที่ดีอยู่เสมอ โดยเฉพาะอาคารโครงสร้างเหล็กที่ก่อสร้างเสร็จไปหลายปีแล้ว หากไม่ใช่โครงการขนาดใหญ่ที่มีวิศวกรคอยให้คำปรึกษา การตั้งคำถามและค้นหาคำตอบว่าโครงสร้างเหล่านั้นควรค่าแก่การตรวจสุขภาพเมื่อไหร่ และถ้าหากตรวจพบสนิมควรรับมืออย่างไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบ

เพราะหนึ่งในปัจจัยที่มีผลต่อการทำงานระหว่างกระบวนการก่อสร้างคือเรื่องของสถานการณ์ทั้ง ณ ปัจจุบันและอนาคต ไม่ว่าจะเป็น ความผันผวนของราคาวัสดุ ไปจนถึงสถานการณ์โรคระบาดในไซต์งานที่ส่งผลโดยตรงต่อการทำงานให้เกิดความติดขัดล่าช้า หรือซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือต้องหยุดกระบวนการทำงานทั้งหมดเพื่อควบคุมสถานการณ์ให้คงที่