การที่โครงสร้างเหล็กมีการเปราะแตกจากการเชื่อมเกิดขึ้นได้จาก 2 กรณีใหญ่ ๆ คือ เกิดจากขั้นตอนการทำงานของช่างเชื่อมไม่ว่าจะเป็นทักษะความชำนาญหรือการเลือกใช้อุปกรณ์การเชื่อมที่ส่งผลต่อเหล็ก และอีกกรณีคือเหล็กที่นำมาใช้มีคุณสมบัติทางเคมีที่ไม่เหมาะต่อการเชื่อมทำให้เหล็กเกิดปัญหาได้
ฝีมือช่าง ส่งผลต่อการเชื่อม
อย่างแรกที่ส่งผลต่อการเชื่อมคือฝีมือและความชำนาญในการเชื่อมของช่างซึ่งช่างแต่ละคนก็มีระดับฝีมือและความชำนาญที่แตกต่างกัน ดังนั้นเจ้าของโครงการหรือผู้รับเหมาก็ควรเลือกช่างที่เข้าใจขั้นตอนการเชื่อม รู้วิธีการเชื่อมเป็นอย่างดี เพื่อให้โครงสร้างถูกเชื่อมอย่างสมบูรณ์และเรียบร้อย และอุปกรณ์ที่นำมาใช้ก็ส่งผลต่อการเชื่อมได้เช่นกันเพราะอุปกรณ์เชื่อมที่ไม่ได้มาตรฐานก็จะส่งผลให้เหล็กมีโอกาสเปราะแตกได้มากขึ้น
โครงสร้างเนื้อเหล็กที่เปราะ ส่งผลต่อการเชื่อม
โครงสร้างเนื้อเหล็กที่เปราะเกิดจากการที่เหล็กมีคุณสมัติทางเคมีที่ไม่เหมาะแก่การเชื่อม กล่าวคือเป็นเหล็กที่มีปริมาณของคาร์บอน (C) ในปริมาณที่สูง ส่งผลให้ค่า CE (Carbon Equivalent) ในการผลิตเหล็กสูงไปด้วย เมื่อเหล็กที่มีคาร์บอนสูงถูกนำไปเชื่อมจึงมีโอกาสเปราะแตกได้มากขึ้น นอกจากเนื้อเหล็กมีคาร์บอนสูงแล้วการที่เนื้อเหล็กมีซัลเฟอร์ (S) ที่ถือเป็นสิ่งปลอมปนในเนื้อเหล็กสูงด้วยนั้น ก็จะยิ่งทำให้เหล็กมีโอกาสเกิดรอยแตกตามแนวรีดระหว่างทำการเชื่อมได้ด้วย
เหล็กของ SYS เหมาะแก่การเชื่อมยังไง
เหล็กที่มีค่า CE (Carbon Equivalent) ต่ำกว่า 0.35 นั้น โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องทำการอบ หรือ Preheat ก่อนทำการเชื่อม ซึ่งค่า CE แปรผันตามปริมาณคาร์บอนในเนื้อเหล็ก โดยคาร์บอนที่สูงเกินไปส่งผลให้เหล็กมีโอกาสเปราะแตกจึงต้องมีขั้นตอนการอบหรือ Preheat ก่อนเชื่อมเพื่อปรับให้เนื้อเหล็กมีความเหนียวลดการเปราะแตก
ในการผลิต SYS ได้มีการควบคุมการผลิตให้ค่า CE ของเหล็กให้มีค่าที่ต่ำ ซึ่งเป็นผลมาจากการควบคุมปริมาณคาร์บอนในเหล็กให้อยู่ในปริมาณที่ต่ำและเหมาะสม รวมถึงมีการควบคุมปริมาณซัลเฟอร์ให้ต่ำ เพื่อป้องกันการเป็นสิ่งปลอมปนในเนื้อเหล็ก จึงทำให้เหล็กของ SYS มีคุณสมบัติทางเคมีที่พร้อมและเหมาะแก่การเชื่อม ทำการเชื่อมได้รวดเร็ว เรียบร้อยและไม่เกิดปัญหาเหล็กเปราะแตกตามมา